Kick-off โครงการการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค ที่ปรึกษา รมว.อว. ชี้อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมีความพร้อม เพราะเป็นกลไกเชิงระบบของชาติหรือที่เรียกว่า National Platform อยู่แล้ว แถมมีทั้งมหาวิทยาลัย นักวิจัย นักนวัตกร ห้องปฏิบัติการ เทคโนโลยี เครื่องมือ งานวิจัยขั้นแนวหน้า
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษา รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ด้านวิทยาศาสตร์ เป็นประธานเปิดงานปฐมนิเทศ (Kick-off) โครงการการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค (NEC, NeEc, CWEC และ SEC) โดยมี นายเอกพงศ์ มุสิกะเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กปว.) รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร บพท. และ ผู้อำนวยการเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั้ง 44 แห่ง ทั่วประเทศ เข้าร่วมงานปฐมนิเทศครั้งนี้ ที่โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ ด้วย
รศ.ดร.วีระพงษ์ กล่าวว่า การพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ มี จ.เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี จ.นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ภาคกลาง-ตะวันตก มี จ.พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และภาคใต้ มี จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่โฟกัสใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่อีสเทิร์นซีบอร์ดหรือเซาท์เทิร์นซีบอร์ดเท่านั้น เพื่อมุ่งยกระดับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม และยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยเทคโนโลยีเชิงลึก ผ่านการเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของพื้นที่ทั้ง 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุดมศึกษา และภาคประชาสังคม ดังนั้น บทบาทของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค จะต้องเข้าไปมีบทบาทเชื่อมกับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาคให้ได้ เพราะอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการ ห้องวิจัย มีผู้เชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังนั้น ภาคเอกชนที่จะมาลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค ก็จะมีกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เป็นเครื่องมือในการผลิตสินค้าและบริการได้ ที่สำคัญที่สุด อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค มีกำลังคน มีนวัตกรจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ที่จะเข้าสู่ภาคการผลิตและจะมีส่วนช่วยผลักดัน GDP ให้กับประเทศได้
จากนั้น รศ.ดร.วีระพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเป็นกลไกเชิงระบบของชาติหรือที่เรียกว่า National Platform ทำหน้าที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีในการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันของมหาวิทยาลัยในหลายภูมิภาค ดังนั้นเมื่อมีนโยบายการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค และมีโฟกัสว่าพื้นที่ แต่ละพื้นที่จะทำอะไร อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคก็จะเป็นกลไกสำคัญและเป็นตัวกลางในการเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคเข้าสู่การใช้ประโยชน์กับภาคเอกชน ภาคการผลิต ภาคบริการ ซึ่งอยู่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ และเมื่อมีการโฟกัสจุดเด่นของแต่ละภูมิภาคก็จะทำให้เกิดการทำงานที่ไม่ทับซ้อนกัน จะทำให้เกิดการจ้างงาน ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
เมื่อถามว่า ศักยภาพของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคจะสามารถรองรับการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค ได้หรือไม่ รศ.ดร.วีระพงษ์ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมีความพร้อมอยู่แล้ว มีทั้งมหาวิทยาลัย นักวิจัย ห้องปฏิบัติการ เครื่องไม้เครื่องมือ งานวิจัยขั้นแนวหน้า การพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค จะทำให้การทำงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ด้าน รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย รองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคเหนือ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคเหนือ มีความพร้อมและได้เตรียมแผนไว้รองรับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ 4 จังหวัดไว้แล้ว นอกจากนี้ มีการเตรียมนำเทคโนโลยีในกลุ่ม BCG มาทำให้เกิด New s-curve เพื่อเป็นตัวเร่งหรือเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยในภาคเหนือมีความโดดเด่นในเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ดิจิทัล การท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและอาหาร ซึ่งอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคเหนือ มีคลัสเตอร์ในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ส่วนในภูมิภาคอื่นๆ ก็จะมีอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นในแต่ละเรื่องที่แตกต่างกันออกไป
ขณะที่ รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ 4 ภาค เพื่อให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทศวรรษที่ 21 และเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยได้เป็นแกนนำหลักในภาคีสำคัญของโลกด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่ออนาคต เพื่อการขับเคลื่อนเทคโนโลยีขั้นแนวหน้าสู่อุตสาหกรรมอนาคตที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้น มีความสามารถในการเติบโตในอนาคตสูง